แม่และลูกสาวแย่งกันตามหาโทโทโร่ ที่ต้นไม้ยักษ์อายุ 3,000 ปีในคิวชู (3)

เมืองอาริตะมีหมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผา มีบริการให้ลูกค้าออกแบบจาน ชาม เครื่องปั้นดินเผา และเขียนแบบ เราอยากลอง เลยแท็กซี่พาฉันไปที่ร้านชื่อ ‘มารุเกะ’ และเห็นตัวอักษรคันจิเขียนว่า丸兄商社เป็นร้านเครื่องปั้นดินเผาที่ดูเหมือนโรงงานขนาดใหญ่ มีจอแสดงผลผลิตภัณฑ์และเตาเผาที่ด้านหลัง ฉันเพิ่งรู้ว่าเขามีเว็บไซต์ให้เราไปซื้อของด้วย

เราไม่มีเวลาทำเครื่องปั้นดินเผา แต่ถ้าเขียนลวดลายลงบนเครื่องปั้นดินเผาก็คงจะดี เขาเลือกภาชนะที่เขาต้องการ ทั้งจานและชาม ลูกสาวของฉันเลือกชาม ราคา 1,000 เยน ตอนนั้นประมาณ 300 บาท แล้วมีครูมาสอนภาษาญี่ปุ่น นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันต้องเป็นล่ามภาษาญี่ปุ่นเพื่อให้ลูกๆ ทำงานประดิษฐ์

เสร็จแล้วก็เผาส่งให้เราที่เมืองไทย ซึ่งน่าจะใช้เวลาประมาณ 1 เดือน คิดว่าถ้าคนอื่นสนใจ แม้ว่าคุณจะฟังภาษาญี่ปุ่นไม่ได้ คุณก็ทำได้ เพราะเขามีอุปกรณ์พร้อมสาธิต เสร็จแล้วจะจ่ายค่าขนส่ง จำได้ว่า 1,800 เยน ค่าส่งแพงกว่าราคาอีก ทุกวันนี้ชามนั้นยังใช้สำหรับจิ้มน้ำจิ้ม

ออกจากร้าน Maruke เราจะกลับไปที่สถานี Arita ระหว่างทางกลับเข้าเมือง เราจะเห็นทั้งอาริตะยากิ บ้านบางหลังประดับประดาเครื่องปั้นดินเผาบนผนัง ริมรั้ว มีความสวยงามแปลกตาล้ำค่ามาก ระหว่างทางก็ต้องลงหน่อยก่อนถึงสถานี

ด้วยความอยากชมร้านค้าของย่านเมืองเก่าจึงพาลูกๆ เดินช้าๆ ขณะนั้นเป็นเวลารับประทานอาหารกลางวัน ฉันพาลูกไปทานอาหารที่ร้านอาหารของคุณยาย ร้านอาหารมีบะหมี่ เช่น อุด้ง โซบะ และโอเด้งให้เลือก ฉันสั่งอุด้งให้ลูกสาวและ ‘จัมปอน’ ให้ตัวเอง สั่งโอเด้ง 2 อันกินด้วย

จัมปงดูเหมือนบะหมี่กรอบของเรา

เส้นก๋วยเตี๋ยวเป็นราเม็งทอดกรอบ แต่บางครั้งไม่เห็นมันทอดแต่มันทอด จากนั้นเขาจะราดด้วยน้ำผลไม้ข้นๆ จากผัก เช่น กะหล่ำปลี เห็ด แครอท คล้ายๆ กับราดหน้ามังสวิรัติของเรา ฉันได้ยินมาว่าจัมปงเป็นอาหารของจังหวัดนางาซากิ แต่จากที่นี่ไปนางาซากิก็ไม่ไกลมาก วัฒนธรรมอาหารสามารถแพร่กระจายอย่างมาก อิ่มท้อง พร้อมเดินทางสู่เมืองทาเคโอะ

จากนั้นเราก็นั่งรถบัสไปที่สถานีทาเคโอะออนเซ็นซึ่งเป็นสถานีขนาดใหญ่ที่ทันสมัย อาจเป็นเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีออนเซ็น สำหรับสถานีอาริตะนั้นเป็นอาคารไม้เก่าแก่ ซึ่งจริงๆ แล้วอาจได้รับการอนุรักษ์ไว้ตามธีมวัฒนธรรมของเมือง เรานั่งแท็กซี่ไปที่ศาลเจ้าบนเนินเขา มีชื่อเสียงในการขอพรความรัก

เพราะด้านหลังมีต้นไซเปรสคู่รักสองต้นปลูกติดกัน เห็นว่าหนึ่งปีเขาจะเปิดให้ดู เราไม่ได้อยู่ที่นี่ เวลาผ่านไป โดยมีเป้าหมายในการหา Totoro ดังนั้นพวกเขาจึงเดินต่อไปทางด้านหลัง มีทางเดินเหมือนกับในอนิเมะเรื่อง My Neighbor Totoro ผ่านเสาโทเรสีขาว มีทางเดินผ่านซุ้มไม้เมเปิล ผ่านป่าไผ่ที่ไหวแล้วเราก็มาถึงต้นโทโทโร่

ต้นการบูรยักษ์ที่มีอายุมากกว่า 3,000 ปี ตั้งตระหง่านราวกับปู่ทวดผู้น่าเกรงขามมองดูหลานๆ ของเขาที่เคยมาเยี่ยมเยียน ที่โคนต้นการบูรยักษ์มีโพรงขนาดใหญ่ มีบันไดเล็กๆ ที่เขาทำไว้ให้เดินไปทางโพรงนั้น แต่รอบๆ ต้นไม้นั้นมีรั้วไม้ที่ไม่อยากให้ใครเข้าไป เรายืนดูอยู่ซักพัก รู้สึกสงบ ลูกสาวบอกว่า “ถ้าเข้าไปในหลุมนี้ สงสัยจะเจอโตโตโร่ บางทีฉันอาจจะเห็นหลามแทน” แม่หัวเราะแล้วเดินกลับ

ออกจากศาลเจ้า เราเดินลงเขาไปยังห้องสมุดเมืองทาเคโอะด้วยตัวเราเอง ระหว่างเดิน ลูกสาวบ่นว่าทำไมไม่เรียกแท็กซี่ ดังนั้นเธอจึงร้องเพลงธีม Totoro อีกเพลงที่ชื่อว่า Arukou ซึ่งแปลว่าเดินกันเถอะ ฉันร้องไห้และเดินไปจนมาถึงห้องสมุดในที่สุด

ประวัติศาสตร์กล่าวว่าห้องสมุดแห่งนี้แต่เดิมเป็นห้องสมุดธรรมดาเพราะเมืองนี้มีประชากรไม่มากนัก แต่เมื่อมีโครงการปรับปรุงห้องสมุดในปี 2556 ห้องสมุดก็ได้รับความสนใจ มีผู้เข้าชมมากกว่าประชากรในเมืองถึงสามเท่า และเราเป็นหนึ่งในนั้น

ติดตามบทความ / ข่าวสารเพิ่มเติม ได้ที่ : matrix1inc.com